เป็นวิหารหลักทางขึ้นห่มผ้าบูชาพระบรมธาตุ
ที่มีงานประติมากรรมปูนปั้นฝีมือชั้นเยี่ยมของชาติ
บอกเรื่องราวการละโลกออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ
และบรรดาเทพท้าวผู้พิทักษ์รักษารพบรมธาตุกระทั่งพระนารายณ์และพรหมที่บานประตูจำหลักไม้ชิ้นเยี่ยมที่ปลายบันได
เล่าว่าพลิติและพลิมุ่ย
สองเศรษฐีชาวงลังกาได้รับคำสั่งพระเจ้ากรุงลังกาให้มาช่วยสร้างพระบรมธาตุที่เมืองนคร
แต่เดินทางมาถึงช้าจึงสร้างวิหารนี้ขึ้น
ขณะกำลังสร้างนั้นบุตรชายสองคนชื่อนายมดกับนายหมูเกิดทะเลาะกันเรื่องการชนไก่แล้วฆ่ากันตาย
เศรษฐีจึงนำอัฐิบุตรมาตำเคล้าปูนแล้วปั้นเป็นรูปเสด็จออมหาภิเนษกรมและพระพุทธรูปไว้ในวิหารนี้
นิยมเรียก วิหารพระมหาภิเนษกรม นี้ว่า วิหารพระม้า
หรือ วิหารพระทรงม้า ตามภาพปูนปั้นนี้
พระทรงม้า มหาภิเนษกรม
เป็นภาพปูนปั้นขนาดใหญ่ปิดทองลวดลายวิจิตรสวยงามมาก
นับเป็นงานปูนปั้นภายในอาคารที่ใหญ่
เก่าแก่และสวยงามมากที่สุดชิ้นหนึ่งของชาติที่คงเหลือในสภาพสมบูรณ์
ผ่านการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ตอนปลายอยุธยาประกอบด้วยภาพปูนปั้นแสดงขณะพระสิทธัตถะ
กำลังพิจารณาละชีวิตคฤหัสถ์ ราชสมบัติ
ราชวังที่มีพระนางยโสธราพิมพาบรรทมอยู่กับพระราหุลกุมารพร้อมพนักงานดนตรีร่ายรำพัดวี
ขึ้นม้ากัณฐกะออกจากวัง มีเหล่าเทพยดาแห่แหนมาพบพญามารยืนขวางที่ปากทางเสมือนปริศนาธรรมสำหรับคนเข้าวัด
ภาพปูนปั้นเชิงบันไดทางตะวันออกเป็นของเก่าดั้งเดิมและวิจิตรกว่าทางทิศตะวันตกที่น่าจะทำขึ้นภายหลังโดยช่างท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
จตุคามรามเทพท้าวและเหล่าภาพยนตร์ผู้ปกปักรักษาพระบรมธาตุเป็นงานปูนปั้นลอยตัวรายรอบเชิงบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณสมกับตามตำนานระบุว่า
เจ้ากากภาษาผูกภาพยนตร์ ด้วยเวทมนต์คาถาเป็นยักษ์
ครุฑ นาค สิงห์ โค ม้าและช้าง ประกอบด้วยยักษ์คู่คือ
ท้าวเวฬุราชและท้าวเวชสุวรรณ ครุฑคู่ คือ ท้าววิรุฬปักษ์
และ ท้าววิรุฬหก นาคคู่คือ ท้าวทตตรฐมหาราช
โดยที่ยอดบันไดเป็นคู่ของท้าวจตุคาม และ ท้าวรามเทพ
นั่งพิทักษ์อยู่ มีสิงห์สามคู่ ขนาบเชิงบันได
คู่ล่างสีแดงยืนสงบอยู่คู่กลางสีเหลืองนั่งเผยอปากขู่
คู่บนสีดำนั่งยกสองขาหน้าอ้าปากกว้างคำราม
**ภาพยนตร์
หมายถึง
หุ่นที่ผูกขึ้นด้วยฟ่อนหญ้าแล้วปลุกเสกด้วยเวทมนตร์คาถา
ผนังบันไดปั้นเป็นรูป หมู่พฤกษาในกระถาง
ให้ดอกออกผลมีนก ลิง กระรอกน่ารัก ที่โคนไม้มีถ้วยน้อย
วางไว้คล้ายรับบุญ ที่รูปปั้นเหล่านี้พบปุ่มถ้วย
ประดับไว้ในตำแหน่งสำคัญชวนนึกว่าเป็นปุ่มรหัสลับสำหรับภาพยนตร์ที่ผูกเวทมนตร์คาถาไว้ปกปักรักษาพระบรมธาตุ
ทั้งนี้มีรอยจารึกชื่อท้าวต่าง ๆ
ไว้บนแผ่นหินอ่อนบนรูปปั้นตามอักขรวีธีท้องถิ่นแทบทุกรูป
ตอนเหนือสุดของผนังบันไดด้านตะวันออกเป็นรอยพระพุทธบาทจำลองที่นับเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองตามพุทธคติ
ด้านตะวันออกเป็นรูปพระนารายณ์
บ้างว่าเป็นพระหลักเมือง บ้างว่าเป็นพระทรงเมือง
ที่ทุกเมืองโบราณที่สืบต่อคติพราหมณ์
มีไว้ครบทั้งพระหลักเมืองพระทรงเมืองและพระเสื้อเมือง
สุดยอดบันไดเป็นประตูไม้บานใหญ่แกะสลักจากไม้แผ่นเดียวเป็นรูปลอยตัวเต็มองค์ประดับกระจกของพระพรหมที่บานด้านตะวันออก
และพระนารายณ์ ที่บานด้านตะวันตก
นับเป็นงานศิลปกรรมชั้นเยี่ยมของชาติอีกชิ้นหนึ่งที่คาดว่าเก่าถึงสมัยอยุธยาตอนต้น
เป็นต้นแบบของพระหลักเมืองที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชปัจจุบัน
เหนือบันไดเป็นระย้าโคมไฟสมัยรัชกาลที่ ๕
มองลงไปหน้าบันไดมีพระพุทธรูปยืนปูนปั้น ขนาดใหญ่ ๕
องค์ จารึกด้วยอักขระดั้งเดิมไว้ว่า
พระพุทธรูปองค์นี้ปางห้ามพยาธิครั้งเกิดไข้ห่าในเมือง
ไพศาล พระสาวกองค์นี้ชื่อว่าพระโมกคัล์ลาย์นะ และ
พระสาวกองค์นี้ชื่อว่าพระสาลีบุตร
โดยบนผนังวิหารเหนือบานประตูยังมีตาลปัตรพระราชทานถวายบูชาพระบรมธาตุในรัชกาลปัจจุบันด้วย
ที่หน้าประตูวิหารพระม้าด้านทิศตะวันออกมีหอระฆังระบุปีสร้างเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๔ แขวน ระฆังสำริด ใบใหญ่ของเก่า
หล่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๓๐