|
พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
ในคราวบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุเจดีย์ตลอดทั้งปลียอดครั้งใหญ่
ได้พบว่าตามแผ่นทองหุ้มปลียอดพระบรมธาตุล้วนจารึกสะท้อนถึงนิมิตมุ่งหมายเหล่านั้นมากมายว่า
- มีศรัทธาเอาทองคำหนัก ๗ บาท ๑ สลึง
ตราสังแผ่หุ้มยอดพระบรมธาตุ
นิพพานปจฺจโยโหตุ ฯ (จ.๑๑) ...
- เอาแหวนขึ้นถวายพระบรมธาตุ
เกิดไปชาติใด อย่ารู้ ยากรู้จน รู้ทรพล
ตราบเท่าเข้านิพพาน (จ.๔๔) ...
- ได้ห่ม ขอทันพระศรีอารย์เถิด (จ.๕)...
- ด้วยกันคิดศรัทธาเอาทองคำ ๑๑ มวน หนัก
๒๓ ตำลึง ๑ เฟื้อง ขึ้นสรวมยอดพระบรมธาตุ
ขอให้เป็นปัจจัยแก่พระปรินิพพาน (จ.๔)...
- เอาทองขึ้นหุ้มพระบรมธาตุเจ้า
ขอให้สำเร็จพระนิพพาน (จ.๒๗...
- ขอให้สำเร็จสมบัติสามประการ คือ มนุษยสมบัติแลสวรรคสมบัติ
มีพระนิพพานสมบัติเป็นที่สุดตามประเพณีพระอริยเจ้า
แต่ก่อนนั้นแล (จ.๕๒)...
- ได้เอาขึ้นสวมพระศรีรัตนมหาธาตุ
แลด้วยเดชกุศลนี้ขอเป็นปัจจัยตราบเท่าเข้านิพพาน
โหตุจงมี ...
- ขอเป็นประไจยตราเท่าเถิงนิพาน
(จ.๑๗)...
- ขอให้พ้นทุกข์ ตั้งแต่ชาตินี้
ไปภายหน้า ขอได้เกิดทันพระศรีอารย์เถิด
(จ.๓)...
ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และ
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช
ได้เท้าความตั้งแต่สมัยพุทธ ครั้งเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
แล้วมีการแบ่งและประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ
ที่ต่าง ๆ
โดยในคราวถวายพระเพลิงนั้นพระเกษมมหาเถระได้กำบังกายเข้าในกองเพลิงอัญเชิญพระทันตธาตุออกไปถวายพระเจ้าสิงหราชแห่งนครป่าหมาก
ต่อมาเรียกนครนี้ว่า ทนธบุรี มีกษัตริน์เมืองต่าง
ๆ ยกทัพมาเชิงพระทันตธาตุนี้มิได้ขาด
กระทั่งกษัตริย์หนุ่ม ๕
พระองค์ยกทัพเข้าประชิดเมือง พราะเจ้าสิงหราชคาดการณ์ว่ายากจะรักษาเมืองไว้ได้
จึงให้พระราชธิดา ราชบุตร พระนางเหมชาลา
พระทนทกุมาร อัญเชิญพระทันตธาตุลงกำปั่นหนีไปกรุงลังกาเพื่อถวายแก่พระเจ้ากรุงลังกาที่ได้มาทูลของหลายครั้งแล้วแต่เรือกำปั่นถูกพายุพัดแตกกลางทะเลซัดทั้งสองฝั่งแล้วเดินทางถึงหาดทรายแก้วฝังพระทันตธาตุที่ซ่อนในพระเกศาของพระนางเหมชาลาลง
ณ หาดทรายแก้ว จนเมื่อพระมหาเถรพรหมเทพพบเข้า
ได้นำสองกุมารอัญเชิญพระทันตธาตุต่อไปยังลังกา
ถวายต่อพระเจ้าทศคามมุนีสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพร้อมผูกภาพยนตร์รักษาไว้ในลังกา
แล้วให้อัญเชิญพระบรมสารีริก ๒ ทะนาน
ประทานให้พระนางเหมชาลาและเจ้าทนทกุมารอัญเชิญมาประดิษฐาน
ณ หาดทรายแก้ว ที่พระทันตธาตุเคยมาสถิต
ก่อนจะเสด็จกลับทนธบุรีที่ศึกสงบลงแล้ว
โดยที่หาดทรายแก้วนั้น
ต่อมาเมื่อพระเจ้าธรรมโศกราช แห่งเมืองเอาวราชทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าลงมาทางใต้ตามลำดับถึงหาดทรายแก้ว
แก้ไข้ห่าได้สำเร็จด้วยพิธีทำเงินตรานะโมแล้ว
ให้ขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ
แก้ภาพยนตร์ได้แล้วทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและสร้างเมืองนครศรีธรรมราช
ขึ้น
"
พระบรมธาจุเจดีย์นครศรีธรรมราชนี้แม้ว่าจะมีผู้กล่าวว่าเป็นของที่สร้างคลุมพระสถูปองค์เดิมภายในก็ตาม
แต่ลักษณะก็เป็นของเก่าแก่และเชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลของพระเจดีย์แบบลังกา
เจดีย์พระบรมธาตุคงสร้างขึ้นในรามพุทธศตวรรษที่
๑๘ ในสมัยที่เมืองนครศรีธรรมราช
ยังเป็นราชธานีของภาคใต้อยู่ลักษณะของพระเจดีย์ในระยะแรกนั้นมีเจดีย์เล็กประดับที่มุมทั้งสี่
และรอบๆ ฐานประดับด้วยช้างหัวโผล่ออกมานอกซุ้ม
พระเจดีย์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนครศรีธรรมราช
เพราะได้กลายเป็นแบบอย่างให้แก่พระสถูปเจดีย์อีกหลายๆ
องค์ ซึ่งสร้างขึ้นมาในสมัยหลัง ๆ จนทุกวันนี้
พระเจดีย์พระธาตุนครศรีธรรมราชกลายเป็นเจดีย์ทีส่งอิทธิพลในทางศิลปะสถาปัตยกรรมไปยังเจดีย์ในภาคต่าง
ๆ ทางภาคกลางและภาคเหนือของประเทศไทย
รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม"
๑).
พระเจ้าทศคามมุนีพ้อมกับชื่อพระเจ้าทุฎฐฃามณีกษัตริย์ลังกาผู้ครองกรุงอนุราธปุระ
ระหว่างพุทธศักราช ๓๘๒ ๔๐๖
๒.) พระทันตธาตุแห่งลังกา
มีประวัติฝ่ายลังกาว่านำมายังลังกาจากอินเดียในปีที่
๙ แห่งรัชสมัยพระเจ้าสิริเมฆวัณณะ (พ.ศ.๘๔๖
๘๗๔)
โดยเจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมมาลาโดยไม่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับหาดทรายแก้ว
และพระทันตธาตุของลังกานี้ถือเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ประจำชาติศรีลังกาตลอดมา
๓.) ตามหลักฐานของทางลังกา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภาณุแห่งตามพรลิงค์นครศรีธรรมราชเคยยกกองทัพตีลังกา
๒ ครั้งในสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ (พ.ศ.
๑๗๗๙ ๑๘๑๓)
๔.) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชุภาพ
ทรงมีพระดำริว่าพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์เดิมเป็นศิลปะศรีวิชัยมีอายุราวพุทธศตวรรษที่
๑๒ ๑๔ สร้างตามแบบมหายานทรงมณฑป
หลังคาเป็นสถูปมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป
ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสภัทรดิศ ดิศกุล
ทรงมีพระดำริว่าพระบรมธาตุเจดีย์องค์ปัจจุบันมีลักษณะคล้ายเจดีย์คิริ
เวเหระ ในกรุงโปโลนนารุวะ
สร้างในสมัยพระเจ้าปรากรมพุมหาราช (พ.ศ.๑๖๙๖
๑๗๒๙) โดยพระมเหสีชื่อพระนางสุภัทรา
๕.)
หาดทรายแก้วเป็นชื่อสันดอนทรายชายฝั่งตามธรรมชาติ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมาราช
เกิดจากทรายจากเทือกเขาค่อยๆ
ตกตะกอนสะสมในทะเลชายฝั่งจนตื่นเขิน
นานเข้าจจึงขยายเป็นแผ่นดินที่ราบชายฝั่งสันทรายเก่าที่เกิดในยุคโฮโลซีน
( Holocene) เมื่อประมาณ ๘,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ปีที่แล้ว
๖.) เมืองนครศรีธรรมราชมีหลายชื่อ
เริ่มปรากฏในหลักฐานต่าง ๆ
ทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘
ว่าตามพลิงคม ตามพรลิงค์ มัทมาลิงคัม ตันมาลิง
ตันเหมยหลิว จนมาเป็นศรีธรรมราช สิริธรรมนคร
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ๑๙ และอย่างฝรั่งว่า
ลิกอร์ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๑
โดยท่ตั้งเมืองช่วงหนึ่งเมืองประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๖ อาจอยู่ที่บริวเณบ้านท่าเรือ
แล้วย้ายเมืองมาบริเวณเมืองพระเวียง (เมืองโคกกระหม่อม)
ก่อนที่จะย้ายมายังเมืองเก่า (เมืองนครดอนพระ)
อันเป็นสถานที่ตั้งพระบรมธาตุเจดีย์ในบริเวณกำแพงเมืองเก่าเมืองประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๙
๗.) ภาพยนตร์ หมายถึง
หุ่นที่ผูกขึ้นด้วยฟ่อนหญ้าแล้วปลุกเสกด้วยเวทมนตร์คาถา |
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
เดิมเป็นวัดพุทธาวาสประจำเมือง
ไม่มีพระภิกษุจำพรรษา
เป็นธุระของชาวเมืองเจ้าเมืองและคณะสงฆ์ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วไปในภาคใต้ร่วมกันบำรุงรักษา
รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม กล่าวว่า
เป็นมหาเจดีย์ของชุมชนพุทธในภูมิภาคเช่นเดียวกับมาหาเจดีย์อื่น
ๆเช่น พระปฐมเจดีย์ พระธาตุพนม
ที่ไม่สร้างในตัวเมืองใด
แต่สร้างไว้นอกเมืองเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนิกไม่จำกัดเมือง
โดยเมืองที่สร้างหรือยู่ใกล้ได้รับฐานะเป็นผู้ดูแลรักษาและได้รับการยอมรับเป็นศูนย์กลางโดยปริยาย
เฉพาะที่พระบรมธาตุนครศรีธรรมราชนั้นนอกจากมีคณะสงฆ์ลังกาแก้วที่วัดตะเขียนบางแก้ว
เมืองพัทลุง และคณะสงฆ์กาชาดที่วัดพะโคะ
สงขลาแล้ว
ยังมีระบบการดูแลรักษาโดยตั้งพระเถระผู้ใหญ่ของเมือง
๒ รูป หัวหน้าผู้รักษาพระบรมธาตุ
(พระครูเหมเจติยานุรักษ์-ผู้รักษาเจดีย์ทอง
และพระครูเหมเจติยาภิบาลพระผู้ดูแลเจดีย์ทอง)
ร่วมกับพระครูกาแก้ว-การาม กาชาด กาเดิม
ที่ทำหน้าที่รักษาพระบรมธาตุทางทิศต่าง ๆ
พระบรมธาตุเจดีย์เพิ่งจะอยู่ภายในตัวเมืองในสมัยอยุธยาเมื่อย้ายเมืองจากเมืองพระเวียงทางตอนใต้มาสร้างกำแพงเมืองใหม่ครอบคลุมองค์พระบรมธาตุเจดีย์ไว้
ในสมัยรัชการลที่ ๕
พระบรมธาตุเจดีย์มีสภาพถูกทอดทิ้งทรุดโทรมมาก
พระภิกษุปานอาสานำชาวใต้และชาวนครทำการซ่อมแซมครั้งสำคัญระหว่างปี
พ.ศ. ๒๔๓๗ ๒๔๔๑ จนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถูปาภิบาล
เรียกชื่อทั่วไปว่า วัดพระบรมธาตุ วัดพระบมรธาตุ
วัดพระมหาธาตุ
ต่อมาในคราวเสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๕๘ รัชกาลที่ ๖
ได้พระราชทานนามอย่างเป็นทางการเพื่อการจัดระเบียบวัดหลวงไม่ให้ชื่อพ้องพระอารามหลวงที่มีมหาเจดีย์ในภาคใต้ว่าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
พร้อมกับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๘
โดยรวมเอาวัดร้างทางทิศเหนือ (วัดมังคุด)
และใต้ (วัดพระเดิม) รวมเข้าด้วย
โดยได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุระหว่างปี
พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๔
และการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุระหว่างปี
พ.ศ. ๒๕๓๗ ๒๕๓๘
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นศูนย์กลางและสัญลักษณ์ทางจิตใจที่สำคัญของชาติและพุทธศาสนิกชนทั้งไทย
และต่างประเทศโดยเฉพาะชาวมาเลเซีย
มีประเพณีประจำที่สำคัญคือประเพณีแห่งผ้าขึ้นธาตุ
กวนข้าวยาคูมธุปายาส ตักบาตรธูปเทียน
การสวดด้านและงานบุญเดือนสิบเป็นที่สถิตของพระเถระผู้ใหญ่หลายองค์
ได้แก่ พระรัตนธัชมุนี (คณฐาภรณเถร แบน
เปรียญ) พระธรรมรัตโนภาษ (โอภาโสเถร
ประดับเปรียญ)
เจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช
ธรรมยุตองค์ปัจจุบัน
|