ท่านพลตำรวจตรีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช กล่าวว่า
วัตถุมงคลที่ระลึกศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ
วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดของความเข้มขลัง
มีความศักดิ์สิทธิที่ไม่เคยสร้างสิ่งใด ๆ
ได้เหนือไปกว่านี้แล้ว
เป็นการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบได้ประจาตุกายสิทธิ์ทุกชนิดที่ท่านมีอยู่
เช่น เหล็กไหล เหล็กหลบ เหล็กย้อย ธาตุอรหันต์
คนธรรม์ เขี้ยวแก้ว คตต่าง ๆ ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์
สะสมไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่มรวบรวมนำลงไปผสมในวัตถุมงคลรุ่นนี้จนหมดสิ้น
วิชาความรู้ต่างๆ
ที่ร่ำเรียนมาในโอกาสดำเนินการครั้งนี้
ทำตามความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ทุกอย่าง
ขอรับรองว่าคงหาวัตถุมงคลใดเทียบเทียมได้ยาก
ใครมีโอกาสได้รับก็ขอให้เก็บไว้ และ
ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานคุ้มครองวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปเถิด
"
วัตถุมงคลคุ้มครองดวงชะตา
พระผงสุริยัน จันทรา และดวงตราพญาราหุ
อันศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรทะเลใต้
สร้างขึ้นในโอกาสประกอบพิธีกรรมเบิกเนตรศาลหลักเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช
ระหว่างวันที่ 3 5 มีนาคม 2530
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีขาล
เนื้อผงประกอบด้วยมวลสารมงคล ดังต่อไปนี้
ผงไม้ตะเคียนทองหลักเมือง |
ปูนเปลือกหอย |
ดินสังเวชนียสถาน 4 แห่ง |
ดิน 7 ป่าช้า |
ข้าวสุก 7 นา |
ผงกะลาตาเดียว |
ว่านมงคล 108 |
น้ำตาลอ้อย |
กล้วย |
เกลือ |
น้ำศักดิ์สิทธิ์ 4 บ่อ |
ผงอิทธิเจ |
ปูนหิน |
แร่ 7 เหมือง |
เกศรดอกไม้ 108 |
น้ำผึ้งหลวง |
อับเพชร |
น้ำมันจันทน์ |
เงิน |
ทอง |
นาก |
|
รูปแบบ ประดิษฐ์เป็นรูปวงกลมวัฏจักรตามอุดมคติศิลปะศาสตร์ศรีวิชัย
ทำรูปพญาราหูอมจันทร์รายล้อมทั้ง 8 ทิศ
กงจักรล้อมดวงตรา 12 นักษัตร
ตรงกลางปติมากรรมพระเทวะโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้เป็นองค์ประธาน
ด้านหลังสลักยันต์หัวใจธรณี หัวใจมนุษย์
หัวใจพระคาถากำกับธาตุตามคติธรรมชาวศรีวิชัย
พระเนื้อผงสริยัน
จันทรา
คณะช่างได้บรรจงสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงามสุดยอดศิลปกรรมแห่งยุค
สอดคล้องตรงตามศาสตร์ชาวชวากะ เป็นแบบแผนสืบไป
พิธีกรรม ดวงตราพญาราหูอมจันทร์
อันเป็นดวงตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลใต้ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนว่า
รูปรอยตรามหาจักรพรหม เป็นตราประจำองค์
ราชันดำจตุคามรามเทพ ที่หวงแหน
ล่วงละเมิดมิได้ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช
พันตำรวจเอกสรรเพชญ์ ธรรมาธิกุล
ได้หยั่งรู้ในความหมาย
จึงประกอบพิธีกรรมอันเชิญดวงวิญญาณของ
องค์จตุคามรามเทพ ปฐมกษัตริย์ศรีวิชัย
ขออนุญาตให้ใช้ดวงตราศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์
พระสุริยัน
จันทรา
ให้ปรากฏตามเบญจเทพนิมิตบอกกล่าวส่วนผสมตามแบบโบราณ
รูปพญาราหูอมจันทร์ทั้ง 8 เรียงรายเป็นวงกลม
ประการแรก สมมุติหมายถึง ทิศสำคัญ 8 ทิศ
คือทิศใหญ่ 4 ทิศ ทิศน้อย 4 ทิศ
โดยเฉพาะทิศตะวันออก
ซึ่งดวงอาทิตย์เริ่มให้แสงสว่างแก่โลกบังเกิดความอบอุ่น
อันเป็นมูลฐานปรุงแต่งธาตุให้เกิดมวลชีวิต วัน
คืน ฤดูกาล
กำหนดในดวงตราให้พญาราหูตรงกลางเป็นรูปหนูเป็นทิศตะวันออก
พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย เป็นทิศเหนือ
ในแต่ล่ะทิศสมมุติว่ามีจตุโลกเทพและจตุโลกบาล
เฝ้ารักษาผู้ตรัสสู้ธรรมย่อมหยั่งรู้ด้วยญาณทัศนะ
ทราบถึงธรรมชาติสามารถให้พญาราหูประจำทิศ
กำหนดควบคุมให้เกิดประโยชน์แก่ตนมากที่สุด
หากเป็นโทษอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามกาลจักรศาสตร์
ประการสอง
สมมุติแทนสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์
ด้วยเป็นขุมพลังแสง อนุภาคแสง
ปรุงแต่งกระแสธาตุบนพื้นโลก คือ ดวงอาทิตย์
กำหนดให้พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย แทนนามวัน คือ
วันอาทิตย์ นับเวียนขวา มีพญาราหูแทนนาม
วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี
วันศุกร์ วันเสาร์ ส่วนพญาราหูตรงกับรูปเสือ
สัตว์ดุร้ายกินสัตว์อื่นเป็นภักษาหารลำดับที่ 8
มิได้นำมากำหนดเป็นนามวัน
เพราะดาวโลกเป็นที่อยู่อาศัย เกิด แก่ เจ็บ
ตาย เวียนว่ายตายเกิดตามวัฏจักรโหราจารย์เรียกว่า
วันราหู หรือ จุดฆาต
เพราะทั้งมวลชีวิตทุกรูปแบบจะต้องเกิดต้องตายลงในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน
โดยพญาราหูลำดับที่ 8 เป็นผู้กำหนด
และเป็นสถานที่รองรับความหมายแห่งดาวเคราะห์ที่มีอยู่มากมาย
สุดที่จะอธิบายให้หมดสิ้นได้
ครั้นได้รับอนุญาตแล้ว
จึงประกอบพิธีกรรมปลุกเสกเนื้อผงทั้งปวงกลางทะเลลึก
ปลุกเสกบนภูเขาขุนพนม ปลุกเสกกลางทุ่งนา
ครบถ้วนตามภูมิ 3 ภูมิ คือภาคพื้นดิน
ภาคพื้นน้ำ ภาคพื้นอากาศ
อาราธนาพระอาจารย์แห่งสำนักวัดเขาอ้อ
ปลุกเสกสาธยายมนต์ตามประเพณีชาว 12 นักษัตร
รูปแบบและพิธีกรรมพระเนื้อผง สุริยัน - จันทรา
จึงอุปมาดังจำลองจักรราศีบนฟากฟ้า
ปรากฏในประติมากรรมโน้นนำพลังกระแสคลื่น
และรังสีทั้งหลายในอากาศธาตุ
ตลอดจนคลื่นลมในมหาสมุทร
และพื้นธรณีประจุเข้าสู่มวลวัตถุมงคล
ให้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก
และครั้งเดียวที่ครบถ้วยตามแบบแผนของบรรพบุรุษชาว
ชวา
รูปสัตว์ดาว 12 นักษัตร
ห้วงสุริยจักรวาลอันเวิ้งว้างหาขอบเขตมิได้ประกอบด้วยดาวฤกษ์สำคัญ
มองเห็นเป็นรูปสัตว์ 12 ชนิด
เรียงรายไปบรรจบกันเป็นรูปวงกลม
เมื่อแบ่งรัศมีวงกลมออกเป็นราศีอาณาเขตของกลุ่มดวงฤกษ์โดยเฉลี่ยกัน
ดาวนักษัตรเหล่านี้กว่าที่โลกจะโคจรผ่านพ้นไปได้
ใช้เวลา 1 ปี จะต้องเดินทางนานถึง 12 ปี
จึงจะครบรอบ 1 นักษัตร ตามความเป็นจริง
กลุ่มดาวนักษัตรอยู่ห่างไกลจากเส้นทางโคจรของโลกและไม่มีทางไปถึงดาวนักษัตรเหล่านั้นได้เลย
แต่เมื่อโลกล่องลอยอยู่ตรงกับอาณาเขตของกลุ่มดาวนักษัตรใด
ด้านหลังของโลกจะกลายเป็นเงามืดมหึมา
ดำมืดทอดยาวแผ่รัศมีกว้างไกลออกไปในห้วงจักรวาลสุดพรรณนา
จึงสมมุติเงาของโลกอุปมาดังพญาราหู
อสุราจอมมารร้าย ด้วยห้วงบรรยากาศอันหนาวเย็น
บริเวณเงาพญาราหูปกคลุมไปด้วยมวลธาตุคลื่นพลังรังสีนานาชนิด
คราใดต้องอนุภาคแสดงดาวบาปเคราะห์เข้า
จะเกิดปฏิกิริยาปั่นป่วนพลังร้ายขึ้นทันที
ยิ่งประกอบกับดาวนักษัตรร้ายด้วยแล้วอำนาจของดาวนักษัตรจะส่งเสริมความเลวร้ายหลายเท่าทวีคูณ
โลกจะพบกับความวิบัติร้ายแรง
ด้วยพญาราหูที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของจักรวาลโดยไม่บิดพลิ้ว
มวลชีวิตและวัตถุในโลกก็พบกับควาทุกข์ยาก เช่น
ดาวนักษัตรปีมะแม รูปแพะ
ธรรมชาติของสัตว์อาศัยหากินตามป่าดอน
ไม่ชอบน้ำในช่วงปีนักษัตรนั้นจะบังเกิดความแห้งแล้งขึ้นในโลก
หากดาวนักษัตรปีมะโรง
สัญลักษณ์จอมนาคราชสัตว์ผู้เป็นเจ้าแห่งสมุทร
โปรดปรานการเล่นน้ำ มักเกิดน้ำท่วมใหญ่
แผ่นดินถล่มทลาย ผู้คนล้มตายด้วยพิษนาค
ดังนี้เป็นต้น
แม้แต่ชีวิตของบุคคล
การถือกำเนิดขึ้นในปีนักษัตรใด บุคลิกภาพ นิสัย
ความพอใจมักโน้มเอียงไปตามอุปนิสัยของรูปสัตว์ประจำดาวนักษัตร
เหตุการณ์บ้านเมืองก็มักเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของดวงดาว
การก่อกบฏ การสงคราม
ที่เกิดขึ้นในนักษัตรรูปเสือ
ผู้คนจะฆ่าฟันกันล้มตายเลือดนอนแผ่นดิน
ยิ่งในปีนั้นพญาราหูดับแสงเดือนแสงตะวันจนมืดมิด
เรียกว่า จันทรคราส
สุริยคราส
ด้วยแล้ว
ผลแห่งภัยพิบัติจะเพิ่มความร้ายแรงหลายเท่าตัว
รูปวงกลมตรงศูนย์กลาง
รูปสมมุติแห่งความว่างเปล่ามีความหมายหลายประการ
เช่น วิญญาณ ธาตุศูนย์กลางจักรวาล
การตั้งฟ้าตั้งดิน เป็นต้น ตำนานชาวชวากะถือว่า
ตรงจุดศูนย์กลางแห่งดวงตราพญาราหูอมจันทร์เป็นจุดสำคัญที่สุด
คล้ายกับคติธรรมการสร้างพระพุทธเจดีย์
อันเป็นการจำลองโน้มนำสังเวชนีย์สถานทุกแห่งไปรวมกันไว้
ณ จุดเดียว
อุปมาดังศูนย์กลางปลงธรรมสังเวชซึ่งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
หมายถึง นิพพานภพ
วิญญาณธาตุ
เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน ว่างเปล่า
คล้ายกับอากาศธาตุ
แต่ไม่ใช่ลมเพราะลมเป็นสะสารที่สามารถวัด สัมผัส
จำกัดขอบเขต
นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเล่นแร่แปรอากาศธาตุได้เช่นเดียวกับวัตถุอื่น
ทราบถึงที่มาสาเหตุทางวิชาการ
ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลจากพลังงานธรรมชาติชนิดนี้
แต่วิญญาณาธาตุไม่เคยปรากฏอยู่ในศาสตร์สาขาใด
นอกจากคำสอนของศาสนาเรียนรู้อยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม
เรียกว่า
ดวงจิต
คนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ร่างกายเปรียบประดุจบ้านเรือนที่พักอาศัย
จิตใจเป็นเหมือนเจ้าของคอยควบคุมบงการไปตามสัญชาติ
คือ กิเลสตัณหาความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด
สามัญสำนึกคล้ายกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป
หากปราศจากความถูกต้องชอบธรรมขนบธรรมเนียมศาสนาช่วยสั่งสอน
ขัดเกลา ปลูกฝัง หลักจริยธรรมให้เกิด
จิตสำนึกก็ไม่อาจเรียกมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้
พุทธศาสนาจึงชี้หนทางให้เห็นกฎวัฏสงสารว่า
รูปธรรมย่อมถึงกาลแตกดับไปตามอายุขัย
ร่างกายก็กาลายเป็นศพ
ส่วนดวงจิตอันเป็นนามธรรมก็พลันสละเรือนร่างไปพร้อมกับการสิ้นลมหายใจ
ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปอยู่ที่ไหน
จึงเรียกดวงจิตของผู้ตายไปแล้วว่า วิญญาณ
หรือ ผี
ชาวชวากะเชื่อว่า วิญญาณเป็นธาตุที่ 5
มิได้สลายหายสูญ
ได้แปรสภาพกลับคืนกระจายไปกับกระแสลมที่อยู่รอบตัวเรา
วิญญาณของคนชั่วมิได้พัฒนา
ดวงจิตตกต่ำถูกเหยียดหยามเป็น ภูตผีปีศาจ
ส่วนวิญญาณของผู้ปฏิบัติธรรม
ดวงจิตใจสูงได้รับการยอย่องเป็น เทพ หรือ
เทวดา สุดแต่สร้างบารมีถึงระดับใด
ต่างรอเวลากลับมาเกิดใหม่เป็นวัฏสงสาร
การล่วงรู้ดังนี้
ชาวชวากะโบราณจึงแนะนำลูกหลานให้ทำบุญอุทิศทานแก่บรรพบุรุษ
ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว
แผ่บารมีธรรมปกป้องมิให้ดวงวิญญาณทั้งหลายกลับมาจุติในท้องสุนัขในเทศกาลเดือนสิบ
นักบวชชาวจีนสมัยโบราณเคยเดินทางมาศึกษา ณ
จักรวรรดิศรีวิชัย ได้กลับไปเผยแพร่ในประเทศจีน
จึงเกิดเป็นประเพณีนิยมทางศาสนาที่คล้ายคลึงกัน
พระผงสุริยัณ
จันทรา
เป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งในหลายอย่างที่ถูกสร้างขึ้น
ตามพิธีกรรมในแบบโบราณอย่างแท้จริง
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างปูชนียสถานของตนเองให้มากทีสุด
ด้วยทุนทรัพย์เพียงเล็กน้อย
แต่ได้รับสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลเปรียบดังแก้วมณีที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว
โดยเฉพาะ พระผงสุริยัณ
จันทรา
นี้ทำขึ้นตามคติธรรมความเชื่อในระบบจักรวาลวิทยา
อันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นผู้นำในระบบสุริยคติ
และระบบจันทรคติ
แล้วยังสร้างขึ้นตามหลักการสำคัญของจักรพรรดิจีนในอดีต
เมื่อราชทูตจีนเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับอาณาจักรใดจักรพรรดิจะพระราชทาน
คันฉ่องสำริด
อันหนึ่งฉายรูปพระพักตร์องค์จักรพรรดิ
อันหนึ่งฉายพระพักตร์ฮองเฮา ก็คือ คันฉ่องสุริยัณ
จันทรา
ถือกันว่าเป็นวัฒนะรรมอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของจีน
ที่เคยติดต่อกับศรีวิชัยมาไม่น้อยกว่าสองพันปี
เพื่อแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมโยงของชาติที่เคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลก
คือ จีน กับ อินเดีย ไว้ในรูป
พระผงสุริยัณ
จันทรา
อันเป็นที่มาของรูปแบบศิลปกรรมเก่าแก่
ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน